Loading...


รางวัล “ประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ” ปี2557

 

 

ประวัติ  นาย ปรีชา  พรหมมณี 
            ความล้มเหลวและความผิดพลาดในอดีต จากการตกเป็นทาสของยาเสพติดทำให้ปรีชา พรหมมณี ในวัย 14-15 ปี ผู้ที่เป็นลูกคนเดียว และเป็นความหวังทั้งหมดของครอบครัว ต้องพังทลาย เพราะความคึกคะนอง เกเร เที่ยวเตร่ ไม่สนใจการเรียน  และเริ่มติดยาเสพติด(เฮโรอีนชนิดเกล็ด) อย่างงอมแงม ขนาดขโมยเงินทางบ้านไปซื้อยาเสพติด
            ในวัยเด็กปรีชาเป็นคนไม่สู้คน ไม่ชอบการทะเลาะวิวาท ไม่ตอบโต้   จึงมักจะโดนเพื่อนรังแกเป็นประจำ บ่อยครั้งที่เขากลับบ้านหลังเลิกเรียนพร้อมคาบน้ำตา  จากคำสอนของผู้เป็นลุงที่รับไม่ได้ ที่เห็นสภาพหลานชายบอบช้ำทุกครั้งที่กลับบ้าน  และผลแห่งชัยชนะในการจัดการคู่อริได้เป็นครั้งแรกตามคำสอนของผู้เป็นลุง ทำให้ปรีชาเหิมเกริม นำไปสู่การหาเรื่องชกต่อยผู้อื่นอย่างไม่มีสาเหตุ พฤติกรรมเปลี่ยนไปครั้งนั้นตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียนประถม  ถึงขนาดมีฉายาว่า  “ดาวร้ายประจำคลองสวน” แห่งฉะเชิงเทรา
            ความคึกคะนองหนักขึ้นเมื่อศึกษาระดับ ม.1 ถึงขั้นโดนไล่ออกต้องย้ายโรงเรียน เปลี่ยนโรงเรียนแล้ว โรงเรียนเล่า ครอบครัวก็ต้องย้ายถิ่นฐานตามสถานที่ตั้งที่ปรีชาเรียน  แต่เขาก็ยังไม่สำนึก ยังคงหนีเรียน เที่ยวเตร่  จนในที่สุดเริ่มติดยาเสพติด เพราะอยากลอง อยากเก่ง จากนิสัยไม่ชอบลักขโมย ก็ต้องลักขโมยของในบ้านเพื่อแลกกับยาเสพติด  
             จากฉายาต่างๆ ที่ได้รับทำให้ความปรีชาไม่สะท้านต่อความถูกต้อง ชั่วดี ไม่ยำเกรงแม้นแต่ตำรวจ จนเป็นเรื่องลุกลามไปถึงขั้นถูกจับในข้อหาภัยสังคม ต้องอยู่ในห้องขัง 30 วัน ถึงขั้นห้ามประกันโดยเด็ดขาดตลอดเวลาที่ต้องโทษ เขาอาละวาดด้วยการใช้ศีรษะชนลูกกรงประตูตลอด 30 วัน เลือดโชกตัว  เพราะอยากยาสุดๆ  ถึงกระนั้นตำรวจก็ไม่ยอมปล่อยตัว แต่กลับส่งไปคุมขังที่เรือนจำลาดยาว  แม้พ้นโทษมาแล้วแค่เพียง 1 วัน เขาก็ถูกจับกุมอีกในข้อหาเดิม ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำความผิดอะไร เพียงเพราะตำรวจเกรงจะก่อปัญหา
            ความใฝ่ฝันหนึ่งในช่วงชีวิตที่เป็นทาสของยาเสพติดคือ การได้เสพเฮโรอีนที่แม่สาย-ท่าขี้เหล็กซึ่งถือว่ามีเฮโรอีนรสชาติดีที่สุด จึงทำให้เขาดั้นด้น กระเสือกกระสนไปที่นั้น เกือบปีที่ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่ในข่ายงานของขุนส่าและพลพรรคจากกองพล 93 ของก๊กมินตั๋งที่แตกทัพมา “ผมสูบจนไม่รู้เรื่องแล้ว มันเหลือเฟือ จะตาย แปลกนะคนเราจิตช่วงสุดท้ายที่จะหมดลมหายใจจะคิดถึงแม่ อยากเห็นบ้าน อยากเห็นประเทศไทย” คำบอกเล่าของปรีชาผู้บอกเสมอว่า “ผมเป็นคนบาป ผมไม่ใช่คนดี”  สุดท้ายปรีชาตัดสินใจเดินข้ามแม่น้ำสายในหน้าแล้งเพื่อกลับบ้าน
            12 ปีที่ปรีชาติดยาเสพติด  ด้วยความรักที่บุพการีมีต่อเขาอย่างมากมาย  เขาจึงได้รับโอกาส ได้รับการบำบัดรักษาหลายครั้ง เข้าออกโรงพยาบาลต่างๆ เป็นว่าเล่น จนได้รับการปฏิเสธหลายๆ ครั้ง เพราะอาการของเขาเกินที่จะเยียวยา หมดทางรักษา  ถึงกระนั้นผู้เป็นพ่อ แม่ และญาติๆ ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะนำปรีชาไปรักษา         ท้ายสุดที่วัดถ้ำกระบอกของหลวงพ่อจำรูญ  ปานจันทร์  เมื่อปลายปี 2514- 2515  โดยหลวงพ่อกิตติวุฑโฒ และที่นี่ปรีชาก็ยังได้รับฉายาอีกว่า “จอมบ้าแห่งถ้ำกระบอก”   เมื่อครบกำหนดการรักษาหลวงพ่อจำรูญบอกหลวงพ่อกิตติวุฑโฒว่าอย่านำปรีชากลับ โดยให้เหตุผลว่า หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง เพราะปรีชาติดยาเสพติดมาโชกโชน หากแม้รักษาคนนี้ได้ จะเป็นหนามบ่งยาเสพติดที่คุกคามประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์มาก ด้วยการฝึกให้เป็นนักต่อสู้กับยาเสพติดเพื่อทำประโยชน์ของประเทศในภายภาคหน้า  
            หลังจากที่ปรีชารับสัจจะต่อหลวงพ่อกิตติวุฑโฒ ที่จะไม่สูบ ไม่เสพ ไม่หันไปพึ่งยาเสพติดอีกแล้ว เขาได้ผันชีวิตตัวเอง จากอันธพาล คนติดยา ผู้ที่ก่อกรรมไว้มากมายแก่บุพการี สู่การไถ่บาปในฐานะ วิทยากร เกือบ 40 ปี่ที่เขาตระเวนเดินทางด้วยรถยนต์เก่าๆ ใกล้จะหมดสภาพ ขับไปซ่อมไป เป็นพาหนะส่วนตัวไปบรรยายถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตของตนเองที่เกือบตลอดชีวิตของเขาต้องตกในขุมนรก ทำลายความรักที่พ่อแม่มีต่อเขา ประหนึ่งการไถ่บาป เพื่อหวังให้ลูกหลานชาวไทยตระหนักถึงความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก และลูกๆควรกตัญญูต่อพ่อแม่ ด้วยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ตามสถานศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศปีละไม่ต่ำกว่า 300
โรงเรียน มีเด็กนักเรียนเข้าฟังไม่กว่า 100,000 คน  เว้นในช่วงปิดภาคเรียน ด้วยเนื้อหา ลีลาท่าทาง การบรรยายที่เข้าถึงหัวใจนักเรียน ทำให้เกิดความรักพ่อ รักแม่มากขึ้น รู้เท่าทันยาเสพติด ซึ่งหลังการบรรยายจะมีเยาวชนที่ได้ฟังการบรรยายเข้ามาให้สัญญาว่าจะไม่ละ เลิก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งคำสัญญานี้ทำให้เขามีพลังและมีกำลังใจในการทำบรรยายมากขึ้น
            ปรีชาในวัย 70 ปียังคงยืนยันหนักแน่ว่า มันคือ การถ่ายบาป โดยไม่เคยมีเงินเดือน หรือรายได้พิเศษใดๆ แม้ว่าจะหน่วยงานของรัฐเสนอที่จะให้เขาเป็นวิทยากรพิเศษ แต่เขาปฏิเสธเพราะต้องการด้วยใจที่มุ่งมั่นและเป็นอิสระ  ปรีชาเล่าว่าเขาเคยถูกตามล่าจะผู้ไม่หวังดีหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยหวั่นกลัว  และขอตั้งปฎิญาณ ไว้ว่าจะขอทำงานนี้ “ตายคาเวที”
            ทุกวันนี้ค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าน้ำมันในการเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ตระเวนออกตก ค่าซ่อมรถนั้นมาจากเงินเดือนส่วนหนึ่งของลูกชายคนเล็กซึ่งมีรายได้ไม่มากนัก  และถึงแม้เขาจะตรวจพบมะเร็งที่สร้างความเจ็บปวดในร่างกายตั้งแต่ ปี 2544 และกำลังแพร่กระจายไปทั่วต่อมน้ำเหลือง แต่ปรีชาก็ไม่เคยท้อ ขอใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้เป็นประโยชน์ เพื่อถ่ายบาปด้วยการเป็นวิทยากรบรรยายให้ลูกหลานไทยได้เสริมสร้างภูมิคุ้มกันรู้เท่ายาเสพติดไม่ตกเป็นทาสของยาเสพติด อย่างเช่นเขา  ปรีชา พรหมมณี


โพสโดย : Admin.DPF  | 29 ส.ค. 2557  | เข้าชม : 519  ครั้ง